การดูแลผู้สูงอายุหลังผ่าตัดกระดูก

การกระดูกหักหรือการผ่าตัดในผู้สูงอายุเป็นเหตุการณ์สำคัญที่อาจลดความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ หากฟื้นฟูไม่ดี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ การดูแลหลังการผ่าตัดหรือหลังกระดูกหักจึงควรเป็นแบบองค์รวม — ครอบคลุมการเคลื่อนย้ายอย่างปลอดภัย การกายภาพบำบัดที่เหมาะสม การป้องกันการหกล้มซ้ำ และโภชนาการเพื่อซ่อมแซมกระดูกและกล้ามเนื้อ

1. ขั้นตอนฟื้นฟู (ภาพรวมตามระยะเวลา)

หมายเหตุ: แผนฟื้นฟูต้องปรับตามชนิดของกระดูกหัก สภาพร่างกาย และคำแนะนำแพทย์ผู้ดูแล

ระยะเฉียบพลัน (0–2 สัปดาห์หลังผ่าตัด/กระดูกหัก)

  • เริ่ม เคลื่อนไหวเบา ๆ ภายใต้คำแนะนำแพทย์/นักกายภาพบำบัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการนอนนาน เช่น ภาวะเลือดอุดตัน (DVT) และเสื่อมสมรรถภาพปอด

  • ออกกำลังกายหายใจ, ระบบไหลเวียน และเคลื่อนไหวข้อรอบ ๆ (gentle ROM) ตามคำแนะนำ เพื่อป้องกันข้อฝืดและการหดตัวของกล้ามเนื้อ

ระยะฟื้นตัวระยะสั้น (2–6 สัปดาห์)

  • เพิ่มการเคลื่อนไหวและฝึกยืน-เดินอย่างค่อยเป็นค่อยไป (หากแพทย์ให้เบาๆ หรือใส่อุปกรณ์พยุง)

  • เริ่มโปรแกรม ฝึกความแข็งแรงกล้ามเนื้อรอบข้อ และฝึกการทรงตัวตามคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด

  • จัดการความเจ็บปวดให้พอเหมาะเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถฝึกได้ (ยาตามแพทย์ การประคบ ฯลฯ)

ระยะฟื้นฟูระยะกลาง-ยาว (6 สัปดาห์ขึ้นไป — หลายเดือน)

  • เพิ่มความเข้มข้นการฝึกความแข็งแรง (progressive resistance) ฝึกการทรงตัว และกิจกรรมที่กลับสู่กิจวัตรประจำวัน

  • ประเมินและปรับเครื่องช่วยเดิน (ไม้เท้า วอล์กเกอร์) และประเมินการกลับสู่กิจกรรมก่อนหัก/ผ่าตัด

  • ติดตามการทำงานร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ (แพทย์ ฟื้นฟู นักโภชนาการ ผู้ดูแล) เพื่อคืนสู่การใช้งานก่อนหน้านั้นให้ปลอดภัยที่สุด

2. การกายภาพบำบัดที่เหมาะสม (หลักและตัวอย่างท่า)

การกายภาพบำบัดคือหัวใจสำคัญของการฟื้นฟู — ควรทำโดยนักกายภาพบำบัดที่ประเมินความแข็งแรง ระยะการหายของแผล และข้อจำกัดทางการแพทย์อย่างละเอียด

หลักการสำคัญ

  • เริ่มเร็วแต่ปลอดภัย — งานวิจัยชี้ว่าการเริ่มเคลื่อนย้าย/กายภาพภายใน 24–48 ชั่วโมงหลังผ่าตัดช่วยผลลัพธ์โดยรวมได้ดีขึ้น (ถ้าแพทย์อนุญาต)

  • ฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป (progressive loading) เพิ่มความต้านทานเมื่อผู้ป่วยพร้อม

  • ผสมผสานการฝึก: ความแข็งแรง (strength), การยืด (flexibility/ROM), ความทรงตัว (balance), และการฝึกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน (ADL training)

ตัวอย่างท่ากายภาพที่มักใช้ (ปรับตามข้อบ่งชี้)

  • ankle pumps / foot circles — ปลุกการไหลเวียนของขา ลด DVT

  • heel slides — เพิ่มความยืดหยุ่นข้อเข่า/สะโพก (สำหรับการผ่าตัดสะโพก/เข่า)

  • quad sets & straight leg raises — เสริมกำลังกล้ามเนื้อด้านหน้าต้นขา (ควอดริเซ็ปส์)

  • sit-to-stand practice — ฝึกการลุก-นั่งอย่างปลอดภัย (ADL)

  • balance exercises (standing weight shifts, single-leg stance with support) — ลดความเสี่ยงหกล้มเมื่อลุกเดิน

  • walking with aids (gait training) — ฝึกการใช้ไม้เท้า/วอล์กเกอร์อย่างถูกต้อง และฝึกเดินในสภาพพื้นต่าง ๆ.

การฝึกต้องปรับความถี่และระยะเวลาให้เหมาะกับสภาพผู้ป่วย โดยทั่วไปแนะนำอย่างน้อย 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ ในช่วงฟื้นฟู และต่อเนื่องเป็นระยะตามแผนของนักกายภาพบำบัด

3. การป้องกันการหกล้มซ้ำ (แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ดูแลและบ้าน)

การป้องกันการหกล้มครั้งต่อไปสำคัญยิ่ง — หกล้มซ้ำสามารถนำไปสู่การบาดเจ็บรุนแรงหรือการหกล้มเป็นวงจร

การประเมินความเสี่ยง

  • ประเมินประวัติการหกล้ม ความสามารถในการเดิน ความสมดุล และยาที่ผู้ป่วยใช้ (ยาบางชนิดเพิ่มความเสี่ยงล้ม)

  • ใช้เครื่องมือประเมินเช่น Timed Up and Go (TUG), Falls Efficacy Scale ตามคำแนะนำผู้เชี่ยวชาญเพื่อตัดสินแผนป้องกัน

ปรับบ้านและสิ่งแวดล้อม

  • เอาของที่เกะกะทางเดินออก ทำทางเดินกว้างพอ มีราวจับที่บันไดและห้องน้ำ ติดไฟสว่างในทางเดินและหน้าห้องน้ำ

  • ใช้พื้นผิวกันลื่นในห้องน้ำและบริเวณเปียก หลีกเลี่ยงพรมผืนเล็ก ๆ ที่ลื่นได้

  • จัดที่นั่ง/เก้าอี้มีที่เท้าและพนักพิงใกล้บริเวณที่ต้องใช้ (เช่น ในห้องครัว) เพื่อให้พักเมื่อเหนื่อย

ปรับยาและการดูแลการแพทย์

  • ตรวจยาที่ผู้ป่วยรับประทาน — บางชนิด (ยานอนหลับ ยาลดความดันบางตัว ยากลุ่มเซโรโทนิน) อาจเพิ่มความเสี่ยงล้ม — ปรึกษาแพทย์เพื่อลด/ปรับยาได้หากเหมาะสม

โปรแกรมออกกำลังกายป้องกันการล้ม

  • โปรแกรมเสริมความแข็งแรงและการทรงตัวที่เป็นระบบช่วยลดการหกล้มในผู้สูงอายุ (เช่น โปรแกรมผสม strength + balance เช่น Otago exercise program, Tai Chi) — แนะนำให้ทำต่อเนื่องภายใต้การดูแล

4. อาหารและสารอาหารที่ช่วยซ่อมแซมกระดูก (แนะแนวปฏิบัติ)

โภชนาการเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยการฟื้นตัว — ทั้งการสร้างกระดูกและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อรอบ ๆ

สารอาหารสำคัญที่ต้องให้เพียงพอ

  • โปรตีน — ปริมาณโปรตีนที่เพียงพอช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ แนะนำเป้าหมายสำหรับผู้สูงอายุหลังการบาดเจ็บ/ผ่าตัดประมาณ 1.0–1.2 g/kg/day หรือสูงกว่านี้ตามคำแนะนำแพทย์/นักโภชนาการในบางรายที่เป็นภาวะซีดหรือสูญเสียน้ำหนัก

  • แคลเซียม — จำเป็นต่อการสร้างกระดูก ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้สูงอายุมักอยู่ที่ ~1,000–1,200 mg/day ขึ้นกับอายุและคำแนะนำท้องถิ่น/แพทย์

  • วิตามินดี (Vitamin D) — ช่วยการดูดซึมแคลเซียมและการทำงานของกล้ามเนื้อ แหล่งได้จากแสงแดด อาหาร และเสริมตามคำแนะนำแพทย์ (ระดับที่เหมาะสมควรตรวจเลือดก่อนให้การเสริม)

  • วิตามินซี วิตามินเค แมกนีเซียม และสังกะสี — มีบทบาทในกระบวนการสร้างคอลลาเจนและโครงสร้างกระดูก (ได้จากผัก ผลไม้ ถั่ว และอาหารครบหมู่)

ตัวอย่างเมนูแนะนำเพื่อการฟื้นฟู

  • เช้า: โจ๊กข้าวกล้องใส่ปลาบด + ไข่ตุ๋น + ผลไม้สุก (กล้วย)

  • กลางวัน: ปลาแซลมอนย่าง (โอเมกา-3) + ผักใบเขียวลวก + ข้าวกล้อง

  • เย็น: ซุปเล็ก ๆ ใส่เต้าหู้และผักนิ่ม + โยเกิร์ตเสริมโปรตีน

  • ขนมระหว่างวัน: ถั่วต้ม, นมอุ่น หรือสมูทตี้โปรตีนผักผลไม้

คำแนะนำ: หากผู้สูงอายุรับประทานได้น้อย ควรแบ่งมื้อเป็นมื้อเล็ก ๆ หลายมื้อ และพิจารณาเครื่องดื่มให้พลังงาน/โปรตีนเสริมตามคำแนะนำแพทย์/นักโภชนาการ

5. เมื่อไรต้องรีบไปพบแพทย์

หากพบอาการต่อไปนี้ หลังการผ่าตัดหรือหลังกระดูกหัก ต้องติดต่อแพทย์ทันที:

  • แผลมีหนอง แดง บวมมาก หรือมีเลือดไหลไม่หยุด

  • ปวดมากจนรับประทานยาแก้ปวดปกติไม่ได้ผล

  • อุณหภูมิร่างกายสูง (ไข้) ร่วมกับอาการแผลผิดปกติ (มีโอกาสติดเชื้อ)

  • อาการชาหรืออ่อนแรงเฉียบพลันของขา/เท้า (สัญญาณเสี่ยงต่อเส้นประสาทหรือการไหลเวียน)

  • หายใจลำบาก บวมขาบวมเฉียบพลัน (สงสัย DVT หรือภาวะแทรกซ้อนหลอดเลือด)

  • หกล้มซ้ำและบาดเจ็บใหม่ — ควรเข้ารับการตรวจทันที

6. เคล็ดลับสำหรับผู้ดูแล (Checklist สั้น ๆ)

  • ติดต่อนักกายภาพบำบัดตั้งแต่ก่อนกลับบ้านหรือทันทีที่แพทย์อนุญาต

  • จัดบ้านให้ปลอดภัย: ราวจับ ทางลาด ไฟกลางคืน พื้นกันลื่น

  • ตรวจยาที่ผู้สูงอายุใช้ และคุยกับแพทย์เรื่องยาที่อาจเพิ่มความเสี่ยงหกล้ม

  • วางแผนอาหารที่มีโปรตีนและแคลเซียมเพียงพอ แบ่งมื้อเล็ก ๆ บ่อย ๆ

  • มีเบอร์ติดต่อฉุกเฉินและนัดตามแพทย์/กายภาพบำบัดให้แน่นอน

สรุป

การดูแลผู้สูงอายุหลังกระดูกหักหรือผ่าตัดต้องเป็นแผนการแบบครบวงจร ที่รวมการเริ่มกายภาพบำบัดอย่างปลอดภัยและทันเวลา การฝึกความแข็งแรงและการทรงตัวอย่างเป็นระบบ การปรับสภาพแวดล้อมเพื่อลดความเสี่ยงการหกล้มซ้ำ และโภชนาการที่เพียงพอทั้งโปรตีน แคลเซียม และวิตามินดี การทำงานร่วมกันระหว่างทีมสหวิชาชีพ ผู้ดูแล และครอบครัวเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุฟื้นฟูกลับสู่การใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัยและมีคุณภาพมากขึ้น

แชร์บทความให้ความรู้

Facebook
Email
Threads
X