ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจและการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ มากกว่ากลุ่มวัยอื่น ๆ การป้องกันที่ถูกวิธีทั้งด้านวัคซีน พฤติกรรม และการป้องกันฝุ่นจึงสำคัญมากสำหรับคุณภาพชีวิต
ทำไมผู้สูงอายุจึงเสี่ยงกับโรคปอดมากขึ้น
-
ภูมิต้านทานลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายและมีความรุนแรงมากขึ้น
-
มีโรคประจำตัวร่วม เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง ซึ่งเพิ่มโอกาสเกิดปอดอักเสบหรือภาวะแทรกซ้อน
-
ความสามารถขับเสมหะและการกลั้นหายใจ/ไอเพื่อขับเชื้อลดลง ทำให้เชื้อสะสมในปอดได้ง่ายขึ้น
วิธีป้องกันปอดติดเชื้อ — เชิงปฏิบัติสำหรับผู้สูงอายุและผู้ดูแล
1) รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
-
ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนกิน/หลังเข้าห้องน้ำ/หลังออกนอกบ้าน
-
หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับคนที่เป็นไข้หรือมีอาการไอจาม
-
หากต้องออกไปในที่คนแน่น ควรสวมหน้ากากและกลับมาล้างมือทันที
2) พักผ่อนและโภชนาการให้เพียงพอ
-
นอนหลับเพียงพอ รับประทานอาหารที่ให้พลังงานและโปรตีนเพื่อเสริมภูมิต้านทาน
-
ควบคุมโรคเรื้อรังให้ดี (เช่น เบาหวาน, COPD, หัวใจ) เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อรุนแรง
3) ตรวจสุขภาพตามนัด และรีบรักษาเมื่อติดเชื้อ
-
เมื่อมีอาการไอ ไข้ หรือหายใจลำบาก ควรรีบพบแพทย์ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะอาจลุกลามเป็นปอดอักเสบได้เร็ว
การฉีดวัคซีนที่ช่วยป้องกันปอดอักเสบและโรคระบบทางเดินหายใจ
วัคซีนป้องกันเชื้อปอดบวม (Pneumococcal vaccine)
-
ปัจจุบันคำแนะนำสำหรับผู้ใหญ่มีการขยายกลุ่มเป้าหมาย — หน่วยงานสาธารณสุขแนะนำให้ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปพิจารณารับวัคซีนป้องกัน pneumococcal เพื่อป้องกันการติดเชื้อรุนแรงที่อาจนำไปสู่ปอดอักเสบหรือภาวะแทรกซ้อน
-
การให้วัคซีนและชนิดของวัคซีน (เช่น PCV20/PCV15 + PPSV23) ควรปรึกษาแพทย์เพราะขึ้นกับประวัติการได้รับวัคซีนและภาวะสุขภาพ
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine)
-
ควรฉีดประจำทุกปี เพราะเชื้อไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดปอดอักเสบแทรกซ้อน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว
-
สำหรับผู้สูงอายุบางประเทศ/สถานพยาบาลแนะนำชนิด “high-dose” หรือสูตรที่ปรับสำหรับผู้สูงอายุเพื่อเพิ่มการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน — ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัว
ข้อแนะนำการรับวัคซีน
-
แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาและโรคประจำตัวก่อนรับวัคซีน
-
เก็บบันทึกว่าเคยได้รับวัคซีนชนิดใด เพื่อวางแผนการฉีดครั้งต่อไป
ฝุ่น PM2.5 — อันตรายต่อปอดผู้สูงอายุ และวิธีป้องกัน
ทำไม PM2.5 เป็นอันตราย
-
ฝุ่น PM2.5 มีขนาดเล็กมาก สามารถเข้าสู่ปอดลึกและเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระคายเคือง ปลุกปัญหาปอดเรื้อรัง และเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อทางเดินหายใจในผู้สูงอายุ
หน้ากากชนิดใดเหมาะกับผู้สูงอายุ?
-
หน้ากากที่มีประสิทธิภาพในการกรองฝุ่นขนาดเล็ก ได้แก่ N95 / KN95 / FFP2 (โดยต้องสวมให้แนบหน้าดีเพื่อให้การกรองมีประสิทธิภาพ) — หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยธรรมดาให้การป้องกันน้อยกว่าในกรณีฝุ่น PM2.5 หนาแน่น
-
ข้อควรระวังสำหรับผู้สูงอายุ: หากมีปัญหาหายใจ (เช่น COPD หรือลมหายใจติดขัด) การสวมหน้ากากแน่นนาน ๆ อาจทำให้หายใจลำบาก ควรปรึกษาแพทย์ก่อน และเลือกหน้ากากที่มีวาล์วระบาย (แม้ว่าวาล์วจะช่วยหายใจ แต่ลดการป้องกันการแพร่เชื้อออกสู่ผู้อื่น จึงไม่เหมาะในสถานการณ์ติดเชื้อ)
-
เสริมด้วยเครื่องฟอกอากาศในบ้าน และหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งเมื่อค่าฝุ่นสูง
อาการของปอดอักเสบหรือการติดเชื้อร้ายแรง — ควรพบแพทย์ทันทีเมื่อใด
ให้รีบไปพบแพทย์หรือห้องฉุกเฉินทันทีหากผู้สูงอายุมีอาการต่อไปนี้:
-
หายใจลำบาก หายใจเร็ว หรือหายใจแล้วเจ็บหน้าอก
-
ไข้สูงต่อเนื่อง หรือไข้ที่มีอาการหนาวสั่นอย่างรุนแรง
-
ไอที่มีเสมหะสีเขียวหรือมีเลือดปน
-
สับสน เหม่อลอย หรือลดลงของระดับความรู้สึกผิดปกติ (โดยเฉพาะผู้สูงอายุ)
-
ริมฝีปากหรือใบหน้าเขียวคล้ำ (ออกซิเจนไม่เพียงพอ)
อาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ภาวะรุนแรงที่ต้องรักษาทันที
คำแนะนำสำหรับผู้ดูแลและครอบครัว
-
ตรวจสอบให้ผู้สูงอายุได้รับวัคซีนตามคำแนะนำแพทย์ และพาไปฉีดตามฤดูกาล (เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่)
-
ถ้าผู้สูงอายุมีอาการทางเดินหายใจ ให้รีบสังเกตสัญญาณเตือน (ข้อด้านบน) และพาไปพบแพทย์ทันที หากมีโรคประจำตัวรุนแรง ให้แจ้งประวัติการรักษาและยาเสมอ
-
ในวันที่ค่าฝุ่นสูง: ให้ลดกิจกรรมกลางแจ้ง สวมหน้ากากที่เหมาะสม และเปิดเครื่องฟอกอากาศในห้องที่ผู้สูงอายุพักผ่อน
-
จัดสภาพแวดล้อมให้สะอาด ปลอดฝุ่น (ทำความสะอาดผ้าปูที่นอน ผ้าม่านเป็นประจำ) และหลีกเลี่ยงการใช้สารที่ก่อให้เกิดควันหรือกลิ่นแรงในบ้าน (เช่น การจุดธูปหรือเผา)
สรุป
ผู้สูงอายุควรให้ความสำคัญกับการป้องกันทั้งเชิงป้องกัน (วัคซีนประจำปีและวัคซีนป้องกัน pneumococcal) และการลดการสัมผัสปัจจัยเสี่ยง (การรักษาโรคประจำตัว, สวมหน้ากากที่เหมาะสมเมื่อมีฝุ่น PM2.5) หากมีอาการทางเดินหายใจรุนแรงให้รีบพบแพทย์ทันที — การป้องกันและการตอบสนองเร็วช่วยลดการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตได้

